6 จุดแข็ง...หนุน “TQM” เป็นดาวเด่นในกลุ่มโบรกเกอร์ประกัน

>> หนึ่งในการค้นหาหุ้นเพื่อลงทุนนั้น คือ การมองหาหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มที่มีการเติบโต ที่สำคัญยังต้องโฟกัสไปยังหุ้นที่เป็น ‘ผู้นำ’ ในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วย คงไม่มีใครปฏิเสธถึงความสำคัญของการทำประกันที่นับวันก็มีบทบาทมากขึ้นตามลำดับ ในกลุ่ม ‘ธุรกิจนายหน้าประกันภัย’ ปัจจุบัน “บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM)” ถือเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ชนิดทิ้งห่างที่2 อยู่หลายช่วงตัวเลยทีเดียว

หนึ่งในการค้นหาหุ้นเพื่อลงทุนนั้น คือ การมองหาหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มที่มีการเติบโต ที่สำคัญยังต้องโฟกัสไปยังหุ้นที่เป็น ผู้นำ ในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วย และคงไม่มีใครปฏิเสธถึงความสำคัญของการทำประกันที่นับวันก็มีบทบาทมากขึ้นตามลำดับ ในกลุ่ม ‘ธุรกิจนายหน้าประกันภัย’ ปัจจุบัน “บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM)” ถือเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ชนิดทิ้งห่างที่2 อยู่หลายช่วงตัวเลยทีเดียวโดย “บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)” มอง TQM มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน ได้แก่

1) TQM เป็นเบอร์ 1 ธุรกิจนายหน้าประกัน : โครงสร้างรายได้หลักของ TQM ประกอบด้วย 1) รายได้ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย คิดเป็นสัดส่วน 94% ของรายได้รวมในปี18 และ 2) รายได้ธุรกิจประกันชีวิต มีสัดส่วน 3% ของรายได้รวมในปี18 ด้วยฐานรายได้และกำไรสุทธิที่ทิ้งห่างจากคู่แข่งเบอร์ 2 มาก

2) มีจุดเด่นเหนือคู่แข่งในหลายด้าน: TQM มีจุดเด่นเหนือคู่แข่งที่เป็นบริษัทนายหน้าประกันทั่วไป ทั้งในเรื่อง 1) บริการหลังการขาย ด้วยพนักงานกว่า 4,000 ราย และสาขา 95 แห่งทั่วประเทศ 2) แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ด้วยประสบการณ์กว่า 65 ปี ในอุตสาหกรรม 3) การพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ก่อนคู่แข่ง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ปัจจุบัน TQM มีการขายผ่าน Website, ให้คำปรึกษาผ่าน Line Chat Bot และ Mobile Application และที่สำคัญ 4) TQM มีจุดเด่นเหนือธุรกิจประกันทั่วไป คือ ไม่ต้องรับความเสี่ยงต่อพอร์ตการลงทุน ทำให้ความสามารถทำกำไรมีเสถียรภาพนั่นเอง”

3) เทคโนโลยีจะมีบทบาทมากขึ้น: TQM ได้วางรากฐานเทคโนโลยีไปบางส่วนเพื่อเตรียมพร้อมต่อการเติบโตในอนาคต เช่น 1) การนำ Big Data มาวิเคราะห์ความต้องการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ตามที่ลูกค้าต้องการ 2) ระยะยาว เทคโนโลยีนอกจากช่วยเพิ่มยอดขาย ยังช่วยลดขั้นตอนและ ต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ 3) Line chat / Chat Bot ช่วยรุกฐานลูกค้าได้มากขึ้น

4) อุตสาหกรรมมีช่องว่างเติบโตได้อีกมาก: ปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ในระยะยาว ได้แก่ 1) เบี้ยประกันต่อคนของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว 2) แม้ TQM จะเป็นเบอร์ 1 ด้านประกันภัยวินาศภัย แต่มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 3.7% ของเบี้ยประกันวินาศภัยสุทธิทั้งประเทศ ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งโครงสร้างอุตสาหกรรมนายหน้าประกันภัยที่ประกอบด้วยผู้เล่นขนาดเล็กจำนวนมาก กลายเป็นโอกาสที่ TQM จะพิจารณาการควบรวมกิจการ (M&A) ได้ในอนาคต เพื่อต่อยอดธุรกิจบนการประหยัดต่อขนาดที่เด่นชัดยิ่งขึ้น และ 3) ยอดขายรถยนต์เติบโตเด่นในปี19 เป็นบวกต่อยอดขายประกันในปีนี้ของ TQM ด้วยเช่นเดียวกัน

5) กำไรเติบโตเด่น หนุนจากรายได้และการบริหารต้นทุน: แม้รายได้จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 2.2% ในช่วงปี 2015-2017 แต่กำไรสุทธิโตเฉลี่ยถึง 38.2% CAGR เป็นผลจากการบริหารต้นทุนขายที่ทำได้ดี สะท้อนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ปรับตัวดีขึ้นจาก 44.4% ในปี15 เป็น 48.1% ในปึ17

6) ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง: แม้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ณ ไตรมาสที่3/18 จะอยู่ที่ 3.3 เท่า แต่หนี้สินส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้ค่าเบี้ยประกันตามลักษณะของธุรกิจ โดยเป็นเงินชำระค่าเบี้ยของลูกค้าที่รอนำส่งให้กับบริษัทประกัน ทั้งนี ้ TQM ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย จึงไม่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายในงบกำไรขาดทุน“เรามีมุมมอง “เป็นบวก” หลังผู้บริหาร TQM มา Roadshow กับเราล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.พ.19 ด้วยแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาสที่4/18 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อีกทั้งได้ชี้แจงในประเด็นสำคัญ ที่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่ง TQM ได้เตรียมรับมือด้วยการพัฒนาช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีแผนำเงินที่ได้จาก IPO ส่วนหนึ่งไปพัฒนาต่อ ยอดเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ระยะสั้นเราคาดกำไรสุทธิไตรมาสที่4/18 ที่ 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้กำไรที่เติบโตอย่างโดดเด่นนี้ เป็นผลมาจาก 1) รายได้เติบโตตามปัจจัยฤดูกาลการขายประกันรถยนต์ และ 2) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 49.5% ในไตรมาสที่4/18 (เทียบกับ 49.1% ในไตรมาสที่3/18 และ 44.3% ในไตรมาสที่4/17) เป็นปัจจัยหนุนจากความสามารถในการบริหารต้นทุน และการสร้างรายได้จากงานบริการ

สำหรับปี19 นี้ เราคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 515 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 36.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี19 ที่ 32.5 บาท

ที่มา : www.yuanta.co.th/index.php