นายปิติ ตัณฑเกษม ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย
กล่าวถึงกระบวนการหลังจากเซ็นบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ในการรวมกิจการของธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต ว่า ทั้งสองธนาคารจะทำการสำรวจสินทรัพย์ (ดิวดิลิเจนต์) เพื่อดูข้อมูลเชิงลึกหลายด้าน คาดว่าใช้เวลา 2-3 เดือน เพื่อมี ข้อสรุปสุดท้าย หลังจากนั้นจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นพิเศษเพื่อขออนุมัติเพิ่มทุนประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งคลังและไอเอ็นจีจะเป็นผู้นำในการใส่ทุนหลักเข้ามา หลังเพิ่มทุนแล้วเสร็จก็เข้าสู่กระบวนการควบรวม มีการโอนหุ้นต่างๆ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2562
นายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง
กล่าวว่า คลังพร้อมเพิ่มทุน โดยมีแหล่งเงินทุนหลายช่องทาง ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าต้องใส่เงินเท่าใด แต่เห็นว่าดีลนี้คุ้มค่าก่อประโยชน์ในภาพรวม และในอนาคตธนาคารจะเติบโตและมีมูลค่าสูงขึ้น สร้างประโยชน์ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน เชื่อว่ามีโอกาสสำเร็จแน่นอน ทั้งนี้ หลังการควบรวมจะยุบรวมสาขาที่มีความซ้ำซ้อนไปจุดใหม่ และพนักงานประมาณ 2 หมื่นคนนั้น จะปรับให้เหมาะสม และพัฒนาทักษะใหม่ที่จำเป็นให้พนักงาน โดยทั้งสองธนาคารจะดำเนินการด้วยความพยายามอย่างที่สุดที่จะลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทุกฝ่าย
