“หุ้นสายมืด”...ในตลาดหุ้นไทยก็มีมานานแล้ว ผลุบๆ โผล่ๆ เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง
ไม่จำกัดอยู่แค่ ‘หุ้น 3 ตัวบาท’ หรือ ‘หุ้นไม่เต็มบาท’ หรือ 'หุ้นต่ำสิบ' เท่านั้น
หุ้นใหญ่ในทำเนียบ SET50 ก็เคยมีคดีโด่งดังมาแล้วเช่นกันในอดีต
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของ ‘จริยธรรม’ ของผู้บริหาร หรือแล้วแต่เงื่อนไขที่เป็นนิยามของ ‘หุ้นสายมืด’ ที่จะกำหนดความหมายเอา
สังคมและผู้ร่วมตลาด เคยคาดหวังในบทบาทของกลุ่ม “นักลงทุนสถาบัน” ซึ่งถือเป็นมืออาชีพด้านการลงทุน ที่จะมาจัดการกับกลุ่ม ‘หุ้นสายมืด’ เหล่านี้
“นักลงทุนสถาบัน”...กับจุดยืนที่ไม่ชัดเจนในอดีต
อย่างที่บอกแล้วว่า... ‘หุ้นสายมืด’ หรือ ‘สาย Dark’ นั้น ไม่ได้มีแค่หุ้นเล็กยิบย่อย อยู่ที่จะเอานิยามไหนเข้าไปจับ จะปั่นหุ้น ใช้ข้อมูลภายใน ผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ
หุ้นใหญ่พื้นฐานดีก็มีให้เห็นเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตย้อนไปไม่นานนัก (แต่ขออนุญาตไม่เอ่ยถึงชื่อหุ้น) เรียกว่า...หุ้นที่ติดอยู่ในพอร์ตหุ้นของ ‘กองทุนหุ้น’ หลายบลจ.เลยทีเดียว
“สุดท้ายก็โอละพ่อ ถือเป็นความผิดเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวกับบริษัท ทางสมาคมบลจ.ก็มีหนังสือทวงถามไปถึงบริษัทนั้นอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแต่ละบลจ.ขึ้นกับแต่ละแห่งว่าจะจัดการกันยังไง ที่ไม่เคยลงทุนก็ไม่ลงทุนอยู่แล้ว ที่ลงทุนอยู่บางบลจ.ก็ทยอยขาย ที่ลงทุนต่อก็มีเพราะมองว่ากระบวนการคัดเลือกหุ้นนั้นดูจากปัจจัยพื้นฐาน ก็พื้นฐานดี ทำไมจะไม่ลงทุน เรียกว่า...ตามอัธยาศรัย”
ในตอนนนั้นสร้างความ ‘ผิดหวัง’ เล็กๆ ให้กับนักลงทุนไทย ที่อยากเห็นอีกบทบาทของ “นักลงทุนสถาบัน” มาให้บทเรียนราคาแพงกับ ‘หุ้นสายมืด’ เหล่านี้ จะเทขาย เลิกลงทุน กดดันให้ต้องกลับใจเป็น ‘หุ้นดี’ สังคมให้อภัยในลักษณะนั้นกันไปเลย เหมือนที่มีปรากฎเป็นเรื่องเล่าเป็นตำนานของผู้กล้าของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ‘ต่างประเทศ’ ที่ให้บทเรียนกับหุ้นสายมืดเหล่านี้ปรากฎให้เห็นเป็นข่าวอยู่บ้าง
“แต่สุดท้ายก็แค่ฝันกลางวัน ถ้าหุ้นพื้นฐานดียังเป็นอย่างนี้ หุ้นต่ำบาทไร้จริยธรรม รายย่อยไทยก็ต้องดูแลตัวเองกันต่อไป พร้อมกับฝากความหวังไว้กับผู้กำกับดูแลต่อไปเช่นเดียวกัน”
“กบข.”...ปลุกสำนึก ‘นักลงทุนสถาบัน’ ให้บทเรียนหุ้นสายมืด
การลงทุนในหุ้นที่มี “ESG” ที่เน้นในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนนั้นกำลังมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระดับโลก ‘หุ้นดี’ เหล่านี้ควรได้รับรางวัล ในฝุ่งการลงทุน คือ การเข้าไปลงทุนในหุ้นที่ดีเหล่านี้ ไม่ใช่ทำไป ก็ไม่มีใครสนใจมองเพราะเป็น ‘หุ้นเล็ก’ นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ไม่หันมามองหรอก ทำไปเสียเวลาเปล่า...
ในทางตรงข้าม ‘หุ้นสายมืด’ หุ้นไม่ดี โดยเฉพาะในเรื่อง ‘ธรรมาภิบาล’ ก็ควรถูกลงทุน ควรได้รับบทเรียนจากมุมมองการลงทุนเช่นกัน ไม่ลงทุนเพิ่ม หรือขายหุ้นทิ้ง ไม่ใช่...ปล่อยไป ใครจะทำอะไรก็ได้ หุ้นใหญ่ยังไงก็มีคนลงทุน
“วิทัย รัตนากร” เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) บอกว่า ด้วยแนวคิดดังกล่าว กบข.จึงได้ไปทาบทามนักลงทุนสถาบันต่างๆ เพื่อเข้าเป็นแนวร่วมในการจัดทำ “Negative List” ขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ก็มีนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศตอบรับคำเชิญเข้าเป็นแนวร่วมกับกบข.แล้ว อย่างบลจ.ขนาดใหญ่ 7 แห่งก็ตอบรับแล้ว ‘ประกันสังคม’ , ‘บริษัทประกัน’ ต่างๆ เราก็เข้าไปคุยโดยเริ่มจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ก่อน เพื่อมาร่วมกันกำหนดเงื่อนไขของ “Negative List” ขึ้นมาว่ามีอะไรบ้าง มาช่วยกันร่าง
“โดยบริษัทใดที่เข้าข่ายติดอยู่ใน ‘Negative List’ หากยังไม่มีหุ้นในพอร์ตก็ไม่ลงทุน หรือใครที่มีหุ้นในพอร์ตแล้วก็จะไม่ซื้อเพิ่มในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน เป็นต้น แล้วดูว่าบริษัทนั้นได้มีการแก้ไขตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็อาจจะมีบทลงโทษอื่นๆ เพิ่มเติม แต่ถ้าแก้ไขแล้วเราก็จะปลดชื่อออกจาก ‘Negative List’ ต่อไปหลังจากที่เราร่วมกันประกาศใช้ ‘Negative List’ นี้แล้ว มีบริษัทใดที่ทำผิดเกณฑ์เข้าเงื่อนไขก็จะมีการประกาศชื่อหุ้นบริษัทนั้นออกมาให้รับรู้เลย จะทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมขึ้นมา แค่นักลงทุนสถาบันไม่ซื้อเพิ่มก็แย่แล้วสำหรับบริษัทนั้นๆ”
แม้จะเป็นเพียงแนวคิดที่กำลังอยู่ในกระบวนการทำคลอด แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นมิติใหม่ของบทบาท ‘นักลงทุนสถาบัน’ ในไทยที่หลายคนคาดหวัง ตามแผนที่วางไว้คาดว่าจะมีการร่วมลงนามความตกลงของกลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างๆ ได้ต้นเดือนต.ค.19 นี้ “Negative List”…บทลงโทษ ‘หุ้นสายมืด’ ก็น่าจะได้ฤกษ์เริ่มต้นนับหนึ่งเสียที