เงินนอกมาแล้ว!! ต่างชาติลุยซื้อหุ้นไทย ดันดัชนีครึ่งปีหลังสุดสดใส

>>

เงินลงทุนจากต่างชาติ คือผู้ชี้นำตลาดหุ้น เป็นมุมคิดของนักลงทุนไทยในทุกยุคทุกสมัย เมื่อไหร่ที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้า ดัชนีราคาหุ้นมักจะขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างหนักจนไม่ลืมหูลืมตา จนนักลงทุนบางรายประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติอีกแล้ว


แต่จากข้อมูลในวันที่ 10 มิ.ย.62 พบว่า นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิอยู่ที่ 6,968.16 ล้านบาท เป็นการพลิกมาซื้อสุทธิสะสมครั้งแรกนับจากเดือน มี.ค. หรือในรอบ 3 เดือน โดยสัญญาณการไหลเข้าของเงินรอบนี้ อาจต่อเนื่องและยาวนานจนส่งผลให้หุ้นไทยพุ่งในช่วงครึ่งปีหลัง


‘ภากร ปีตธวัชชัย’
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ในวันที่ 7 มิ.ย. ประเมินว่า เงินทุนต่างชาติมีโอกาสจะไหลกลับตลาดหุ้นไทยได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก MSCI ได้ปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังมีการปรับพอร์ตการลงทุนอยู่ นอกจากนี้ประเด็นการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนว่าใครสามารถจัดตั้งรัฐบาลซึ่งผลที่ออกมา ทำให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสานต่อนโยบายเดิม ทำให้เงินทุนต่างชาติมีความมั่นใจและเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น




การเมือง – สงครามการค้า กำหนดทุนเคลื่อนย้าย


‘มงคล พ่วงเภตรา’ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) วิเคราะห์ทิศทางเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากการปรับพอร์ต MSCI ของประเทศไทยที่ให้น้ำหนักในหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติเข้าซื้อหุ้นไทยอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงมากกว่าปกติ ซึ่งภาวะการณ์เช่นนี้น่าจะอยู่กับตลาดหุ้นไทยไปอีกระยะหนึ่ง และเมื่อการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติเริ่มเข้าที่ มูลค่าการซื้อขายจะกลับมาปกติอีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติต่อตลาดหุ้นไทยในอนาคต ปัจจัยชี้ขาดจะเป็น 2 ส่วนหลัก คือ การเมืองในประเทศ หากการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนที่ดี นโยบายทางการเมืองมีความต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อได้ และปัจจัยที่ 2 หากภาวะสงครามการค้าสหรัฐเริ่มมีความคลี่คลายก็น่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นเดียวกัน




เงินนอกไหลเข้าดันหุ้นไทยครึ่งปีหลังสดใส


'กิจพล ไพรไพศาลกิจ' ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองว่า ปัจจัยที่เงินไหลเข้าในตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเกิดจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในกลุ่มเอเชีย ส่วนปัจจัย ที่ MSCI เพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนรับรู้ไปแล้ว และหลังจากนี้จะไม่มีผลกับตลาดหุ้นมากนัก


ส่วนทิศทางครึ่งปีหลัง กลุ่มประเทศเกิดใหม่จะได้รับอานิสงส์จากเงินทุนต่างชาติที่จะไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยต้องจับตาในเดือน กรกฏาคม ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นครึ่งแรกในรอบหลายปี จะเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้เกิดภาวะเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะสร้างรอบการปรับขึ้นรอบใหม่ให้กับตลาดหุ้นเอเชียให้สดใสในครึ่งปีหลัง


ส่วนตลาดหุ้นไทย ฟันธงได้ว่า เงินจะไหลเข้าในครึ่งปีหลัง แต่อย่าคาดหวังว่า เงินจะไหลเข้ารุนแรงเหมือนกับปี 2017 เพราะยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม เช่น สถานการณ์การเมืองว่าจะมีสเถียรภาพมากขนาดไหน ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงกับเงินไหลเข้า


สำหรับดัชนีเป้าหมายในปีนี้ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน มั่นใจว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะแตะ 1,750 จุด ได้ โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุน คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและปิโตรเคมี ที่ปรับตัวลดลงแรงก่อนหน้านี้




บล.กสิกรไทย ลดเป้าดัชนี แม้ภาวะตลาดจะสดใส


บล.กสิกรไทย ปรับลดเป้าหมายของดัชนีตลาดหุ้นไทย ใน 12 เดือนข้างหน้า จากเดิม 1,750 จุด เหลือ 1,725 จุด แม้จะมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาด หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นจากต้นปีกว่า 7% ซึ่งตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความสมดุลระหว่างปัจจัยบวกและลบส่งผลกระทบต่อ ดัชนี เราจึงเชื่อว่าในระยะสั้น upside ค่อนข้างจำกัด


อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐยังห่างไกลภาวะการถดถอย เศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่ง ด้วยการประเมินของ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด สาขานิวยอร์ก ได้มองโอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ต่ำ ส่วนการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนปัจจัยในประทเศไทย คือภาวะการเมือง หากการเมืองไม่ราบรื่นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตลาดหุ้นไทยได้


จากการประเมินของ บล.กสิกรไทย กับผลตอบแทนกำไรต่อหุ้นของตลาด พบว่า upside ในระยะสั้นของดัชนีค่อนข้างจำกัด เพราะระดับมูลค่าหุ้นในปัจจุบันอยู่ระหว่างค่าเฉลี่ยระยะยาวของตลาดหุ้นไทย และระดับติดลบ 1 SD ทั้งนี้ คำแนะนำการลงทุนนั้น มองว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน TFFIF เป็นตัวที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด เพราะมีอายุกองทุนที่เหลืออยู่ถึง 29 ปี กระแสรายได้มั่นคง ความผันผวนต่ำ และโอกาสที่จะมีการอัดฉีดสินทรัพย์ใหม่จากรัฐบาลเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มอื่นๆที่น่าสนใจ คือ กลุ่มพาณิชย์ อย่าง CPALL, BJC, HMPRO


ส่วนกระแสเงินทุนต่างชาติ เริ่มส่งสัญญาณพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างหนาแน่น แต่ด้วยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นมาหลายวันต่อเนื่อง ดังนั้น นักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวก่อนเข้าลงทุน เพราะแม้ตลาดหุ้นจะเป็นช่วงขาขึ้นที่ชัดเจน แต่ก็อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นระยะ การจับจังหวะเข้าลงทุน หรือการลงทุนระยะยาว อาจเป็นแนวทางที่เหมาะสม