‘สถิติ’ ฟ้อง... หุ้นไทยปีหมู-คืนสู่ร่าง ‘กระทิงเขียว’

>> “ตลาดหุ้นไทย” ปกติเราจะมองกันผ่าน ‘ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental)’ หรือ ‘เทคนิเคิล (Technical)’ เป็นกระแสหลัก 2 ค่ายในการมองตลาดหุ้นกัน ซึ่งอาจจะแตกเป็นหลายสายย่อยติดตามมามากมาย ‘Wealthythai.com’ จะพาคุณมาเปลี่ยนบรรยากาศ ด้วยมุมมองทิศทางตลาดหุ้นไทยผ่าน ‘ตัวเลขเชิงสถิติ

ตลาดหุ้นไทยปกติเราจะมองกันผ่าน ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental)’ หรือ เทคนิเคิล (Technical)’ เป็นกระแสหลัก 2 ค่ายในการมองตลาดหุ้นกัน ซึ่งอาจจะแตกเป็นหลายสายย่อยติดตามมามากมาย ‘Wealthythai.com’ จะพาคุณมาเปลี่ยนบรรยากาศ ด้วยมุมมองทิศทางตลาดหุ้นไทยผ่านตัวเลขเชิงสถิติ (Statistics)’ กันบ้าง มาดูกันว่า...ท้ายสุดด้วยมุมมองเชิงสถิตินี้ ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะเป็นเช่นไร

ปี2008-2018...‘ต่างชาติขายสุทธิ’ 5.92 แสนล้านบาท- ‘หุ้นไทยบวก’ 247.56%

ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส จำกัด บอกว่า หากจะมองภาพตลาดหุ้นไทยผ่านข้อมูลเชิงสถิติ ก็มีความน่าสนใจอยู่หลายจุดทีเดียว การลงทุนในหุ้น ยาวขึ้นประเด็นเรื่องของ ยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ดูจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อตลาดหุ้นไทย ในช่วงปี2008-2018 ต่างชาติขายสุทธิ 592,077 ล้านบาท เฉพาะปี2018 ขายสุทธิ 287,458 ล้านบาท อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี2008-2018 ตลาดหุ้นไทย บวกขึ้นมา 247.56% จากระดับ 449.96 จุด สิ้นปี2008 เพิ่มขึ้นเป็น 1,563.88 จุด สิ้นปี2018 นี่สะท้อนว่า ใน ระยะยาวแล้ว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิขนาดนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ยังเป็นบวกได้ แสดงว่าแรง ซื้อ-ขายของนักลงทุนต่างชาติกลับมีผลต่อตลาดหุ้นไทยไม่มากนัก
( ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ )

แล้วตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาได้อย่างไร?

เจ้ามือตัวจริงในตลาดหุ้น คือกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนนั่นเอง ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมา 250.44% จะเห็นว่าเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยเช่นกัน เมื่อเรามองภาพในระยะยาวจะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นมาตามการเติบโตของกำไรสุทธิของตลาดเป็นสำคัญ

จับตาแรงซื้อสุทธิต่างชาติปีนี้-ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นการซื้อ-ขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังคงมีผลต่อตลาดหุ้นไทยอยู่นั่นเอง โดยเฉพาะการซื้อ-ขายที่มีนัยสำคัญเกินระดับ 100,000 ล้านบาท ขึ้นไป ตัวอย่างปี2008 ต่างชาติขายสุทธิ 162,347 ล้านบาท หุ้นไทยลบ 47.56% ,ปี2013 ต่างชาติขายสุทธิ 194,701 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยติดลบ 6.70% ,ปี2015 ต่างชาติขายสุทธิ 155,630 ล้านบาท หุ้นไทยลบ 14% และล่าสุดในปี2018 ต่างชาติขายสุทธิ ตลาดหุ้นไทยลบไป 10.82%

ในทางตรงข้าม เมื่อต่างชาติเข้า ซื้อสุทธิ ในตลาดหุ้นไทยก็มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ในปี2009 และ 2010 ต่างชาติซื้อสุทธิ 38,231 ล้านบาท และ 81,724 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 63.25% และ 40.60% ตามลำดับ

ปี2012 ต่างชาติซื้อสุทธิ 76,896 ล้านบาท หุ้นไทยบวก 35.76% และในปี2016 ต่างชาติซื้อสุทธิ 77,928 ล้านบาท หุ้นไทยก็บวกไปได้ 19.79%

ปี19 นี้ ถ้าเม็ดเงินต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 0 -50,000 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยน่าจะบวกไปได้ประมาณ 10% และหากเข้ามาซื้อสุทธิมากกว่า 50,000 ล้านบาท คงได้เห็นตลาดหุ้นไทยไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน จากสถิติที่ปรากฏมาในอดีต

ตั้งแต่ปี2000 ‘ตลาดหุ้นไทยไม่เคยติดลบเกิน 1 ปี ติดต่อกัน

ประภาส ยังบอกอีกว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เปิดทำการมาในปี1975 นั้น ตลอดระยะเวลา 44 ปี นั้น ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 24 ปี ให้ผลตอบแทนติดลบ 20 ปี และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.45% ต่อปี (ยังไม่รวมเงินปันผล) อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี2000 เป็นต้นมาตลาดหุ้นไทยไม่เคยให้ผลติดลบติดต่อกันเลย ถ้าปีไหน ลบ ปีถัดมาจะต้อง บวก ในปี18 ตลาดหุ้นไทย ติดลบ ไปแล้ว ถ้าอ้างอิงจากข้อมูลเชิงสถิตินี้ ในปี19 นี้ ตลาดหุ้นไทยควรจะเป็น บวก

ถ้าตลาดหุ้นไทยจะติดลบเป็นปีที่2 ติดต่อกัน จะต้องมี เหตุการณ์สำคัญที่มากระทบพื้นฐานของประเทศอย่างรุนแรง เช่น มีเหตุการณ์ร้ายยิ่งใหญ่ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อทั้งโลก เหมือนมีวิกฤติที่จะดึงทั้งโลกให้ปรับตัวลง ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยเช่นนั้นเกิดขึ้นมาในปีนี้ เช่นเดียวกับปัจจัยภายในประเทศเอง ก็ต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ในเชิงลบเกิดขึ้นเช่นกันจึงจะทำให้เศรษฐกิจประเทศแย่ลงได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็น เพราะการเมืองเองในท้ายที่สุดแล้วก็เชื่อว่าทุกพรรคที่มาเป็นรัฐบาลจะพยายามประคองเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง

บริษัทมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีไว้ที่ระดับ 1,742 จุด ภายใต้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 112.4 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (EPS Growth) ที่ระดับ 6% โดยปัจจัยบวกที่สำคัญยังให้น้ำหนักกับการเลือกตั้งในประเทศ ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งต้องได้รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจึงจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หากมีข้อสรุปว่าไม่มีการดำเนินมาตรการเพิ่มเติมก็ถือว่าเป็นบวกต่อตลาด และค่าเงินบาทแข็งค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก จะส่งผลให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ในขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นไทย (Valuation) ของตลาดหุ้นปัจจุบันยังไม่แพง จึงเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในปีนี้

บริษัทมองว่า SET Index ในปี2019 นี้ มีโอกาสเผชิญความผันผวนสูง โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีระหว่าง 1,551-1,861 จุด

สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ก็หวังว่าข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้จะเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนที่สนใจไม่มากก็น้อยเช่นเดียวกัน

บทความโดย : สรวิศ อิ่มบำรุง,Wealthy Thai