“บลจ.ทาลิส”…ขอโตบนความสำเร็จของผู้ลงทุน

>>

สำหรับ “บลจ.ทาลิส” ไม่ใช่บลจ.ลูกแบงก์ ไม่ใช่บลจ.ลูกโบรก แต่เป็นบลจ.ที่เกิดจากการรวมตัวของอดีตผู้บริหารบลจ.ทั้ง 3 คน ร่วมก่อตั้งขึ้นมา ได้แก่ “โชติกา สวนานนท์-ฉัตรพี ตันติเฉลิม-ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคนละ 25% โดยวางตำแหน่งของตัวเองไว้ให้เป็นบลจ.ที่มีความเชี่ยวชาญการบริหาร “หุ้น&ตราสารหนี้” ในประเทศเป็นสำคัญ เมื่อมีโอกาสได้พบกับแม่ทัพใหญ่ของค่ายนี้ “พี่อู๋-ฉัตรพี ตันติเฉลิม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส จำกัด ทางทีมงาน Wealthythai” ย่อมไม่พลาดเก็บเกี่ยวเรื่องราวที่น่าสนใจมาฝากกันเช่นเคย

 

Wealthythai : ทำไมเริ่มต้นจาก “หุ้นไทย” บลจ.ไหนๆ ก็มีหมดแล้ว

ฉัตรพี : ตลาดหุ้นไทยใหญ่พอสำหรับทุกคน ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้ามาใช้ประโยชน์จากตลาดหุ้นไทย ในเม็ดเงินของกองทุนเองที่เป็นเงินลงทุนในหุ้นก็ยังมีสัดส่วนไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็น ‘ตราสารหนี้’ มีเม็ดเงินลงทุนในหุ้นทั้งอุตสาหกรรมกองทุนประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท หากได้ส่วนแบ่งมาสัก 1% ก็ไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ทำอย่างไรให้เราเป็นทางเลือกที่จะตอบโจทย์นักลงทุนในหุ้นไทยให้ได้เท่านั้นเอง ดังนั้น ‘ตลาดหุ้นไทย’ เองยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

 

Wealthythai : อะไรคือความแตกต่างของ ‘บลจ.ทาลิส’?

ฉัตรพี : (ตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง...) เราเป็น ‘Boutique Asset Management’ ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกองทุนหุ้นไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนในการวางแผนการลงทุนในระยะยาว เราเชี่ยวชาญการลงทุนใน "หุ้นและตราสารหนี้" ในประเทศและเราเลือกที่จะทำสิ่งที่ถนัดให้ดีที่สุด นี่คือ พื้นที่ของเรา โดยมี ‘จุดแข็ง’ คือทีมผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์อยู่ในตลาดทุนมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี และมีประสบการณ์ในธุรกิจการลงทุนนานกว่า 10 ปี  ตลอดจนการเป็นองค์กรขนาดเล็กและเป็นแห่งแรกที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของบุคคล ทำให้มีความเป็น ‘อิสระ’ ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ โดยเน้นเรื่อง ‘คุณภาพ’ การลงทุนเป็นหลัก ไม่ได้เน้นเป้าการเติบโตของ AUM เหมือนบลจ.ที่มีแม่อื่นๆ แล้ว


“เราพยายามจะส่งมอบผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในทุกช่วงเวลาให้กับนักลงทุนของเรา ถ้ากองหุ้นเราจะได้ที่หนึ่งก็ถือเป็นส่วนเพิ่มไป แต่ความสม่ำเสมอสำคัญกว่า ในช่วงที่ตลาดเผชิญความผันผวนสูง ทีมผู้จัดการกองทุนของเราได้พัฒนาและปรับกระบวนการทำงาน เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดล่วงหน้าให้ดีขึ้น รวมถึงวางกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดที่ความผันผวนสูง รวมถึงได้ศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ที่คาดว่าน่าจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดีขึ้น ทั้งด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนด้วย”

 

Wealthythai : เทคโนโลยีช่วยลด ‘จุดอ่อน’ ในเรื่องช่องทางการขายของเรามั้ย?

ฉัตรพี : (ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนตอบคำถาม...) เราเริ่มต้นธุรกิจมาจากฝั่ง ‘กองทุนส่วนบุคคล’ ก่อนจะขยับมาสู่ ‘กองทุนรวม’ ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะวางโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงเราได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีก็ช่วยเราได้มาก
“ในขณะที่กองทุนส่วนบุคคล จะเน้นที่กลุ่มลูกค้า High Net Worth ที่เคยลงทุนในกองทุนหรือหุ้นอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นทั้งลูกค้าเดิมที่รู้จักและจากการแนะนำต่อของลูกค้าปัจจุบันเป็นสำคัญ”


ส่วนของธุรกิจ ‘กองทุนรวม’ เราจะการขายผ่านตัวแทนสนับสนุน (Selling Agent) ,ที่ปรึกษาการลงทุนอิสระ (Independent Investment Consultant : IIC) รวมถึงได้จัดช่องทางการให้บริการแก่ลูกค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง Internet Trading: TalisAM Online Channel และ Mobile Application: Streaming For Fund ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงบริการของเราได้ดียิ่งขึ้น ในอนาคตสัดส่วนของธุรกิจกองทุนรวมก็คงจะเติบโตมากขึ้นเมื่อนักลงทุนเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น


“ไม่อยากให้มองว่าเรามีแค่โพรดักต์หุ้นและตราสารหนี้ในประเทศเท่านั้น หากผู้ลงทุนต้องการคำปรึกษาในเรื่องการลงทุน เดินมาหาเราได้เราพร้อมให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้ลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุน มาคุยกับเราได้เสมอ”

ก่อนจาก ฉัตรพี ฝากไว้ว่า ถ้าผู้ลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุน บริษัทถึงจะอยู่ได้ ดังนั้นการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารของเรานั้น มาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อผู้บริหาร ผู้จัดการกองทุน และผู้ถือหุ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างลงตัว ท่ามกลางรูปแบบการลงทุนที่มีความหลากหลายนั่นเอง