Mind Stone- กลุ่ม “กองทุนตราสารหนี้”
ในที่สุดการเดินทางเสาะแสวงหา “Infinity Funds” กลุ่มกองทุนที่ควบคุมจักรวาล ‘ผลตอบแทน’ ก็เดินมาถึงอัญมณีเม็ดที่ 6 ซึ่งเป็นเม็ดสุดท้ายแล้ว
ก่อนหน้านี้เราได้พาไล่ล่าหาไปแล้ว 5 อัญมณี “Soul Stone-กองทุนอสังหาริมทรัพย์” , “Reality Stone-กองทุนผสม” ,“Space Stone-กองทุน FIF” , “Power Stone-กองหุ้นหุ้น” และ “ Time Stone-กองทุนประหยัดภาษี”
ครั้งสุดท้าย End Game นี้เป็นอัญมณีเม็ดที่ 6 “Mind Stone” พลังควบคุมจิตใจ แทรกแซง เปลี่ยนแปลง สลับลำดับ ลบความทรงจำของผู้อื่นและเคลื่อนย้ายผลตอบแทน ได้แก่ กลุ่ม “กองทุนตราสารหนี้” นั่นเอง นับเป็น ‘Mind Stone’ ของนักลงทุนทุกกลุ่มไม่ว่าจะชอบเสี่ยงหรือไม่ชอบเสี่ยง เพียงแต่อาจจะใช้กันคนละวัตถุประสงค์เท่านั้นเอง ผลตอบแทนขยับ ‘เพิ่ม’ หรือ ‘ลด’ ได้ตามระยะเวลา
ปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- ‘กองทุนตราสารตลาดเงิน’ มีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน ‘ไม่เกิน 1 ปี’ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน ‘ไม่เกิน 3 เดือน’
- ‘กองตราสารหนี้ระยะสั้น’ มีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน ‘ไม่เกิน 1 ปี’ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน ‘ไม่น้อยกว่า 3 เดือน’
- ‘กองตราสารหนี้ระยะกลาง’ มีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน ‘มากกว่า 1-3 ปี’
- ‘กองตราสารหนี้ระยะยาว’ มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน ‘ตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป’
“จะเห็นว่า...ในกลุ่มกองตราสารหนี้เองนั้น ยังมีการแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักตาม ‘อายุเฉลี่ย (Duration)’ ของตราสารหนี้ที่ลงทุน นอกจากนี้ในประเภทที่ 1-3 นั้น ยังแบ่งเป็น 2 ประเภทย่อยได้อีก ตาม ‘ประเภท’ ของตราสารหนี้ที่ลงทุน ได้แก่ ‘ตราสารหนี้ภาครัฐ’ และ ‘ตราสารหนี้ทั่วไป’ ทำให้นับรวมแล้วสามารถแยกย่อยออกได้เป็น 7 ประเภทเลยทีเดียว”
‘รูปแบบ’ และ ‘ผลตอบแทน’...ของกลุ่ม “กองทุนตราสารหนี้”
หนึ่งในพลังของ ‘Mind Stone’ คือ สลับลำดับย้ายผลตอบแทนให้แตกต่างกันไปได้ตามช่วงเวลาของการลงทุน กลุ่ม ‘กองทุนตราสารหนี้’ เองถูกจัดประเภทหลักออกด้วย ‘อายุเฉลี่ย (Duration)’ ของตราสารหนี้ที่ลงทุนเป็นสำคัญ
โดยธรรมชาติ ‘ความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity Risk)’ ของการลงทุนในตราสารหนี้นั้น ก็จะแปรผันตรงไปกับ ‘ระยะเวลา’ ลองหลับตาคิดถึงการฝากเงินดูก็ได้ ถ้าเป็น ‘ออมทรัพย์’ ที่ฝาก-ถอนเมื่อไรก็ได้ ถือว่ามีสภาพคล่องสูงมาก ผลตอบแทนก็จะน้อยสุด แต่ถ้าขยายระยะเวลาออกไปเป็น ‘ฝากประจำ’ ผลตอบแทนก็จะปรับตัวสูงขึ้น เพราะถือยาวนานขึ้นสภาพคล่องลดลง สูญเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการนำไปลงทุนอย่างอื่นไป ยิ่งฝากยาวขึ้น อัตราดอกเบี้ยก็จะปรับตัวสูงขึ้น ช่วย ‘ชดเชย’ กับค่าเสียเวลาในการถือครองนั่นเอง
“ตราสารหนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงของ ‘ผลตอบแทน’ และ ‘ความเสี่ยง’ ไม่ได้แตกต่างจากเงินฝากแต่ประการใด”
ดังนั้น ถ้าจัดตามลำดับง่ายๆ แล้ว ‘กองตราสารตลาดเงิน’ ก็จะมีความเสี่ยง ‘ต่ำสุด’ ในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ด้วยกัน แน่นอนย่อมมี ‘ผลตอบแทน’ น้อยสุดโดยเปรียบเทียบด้วย ก่อนจะไล่ระดับไปเรื่อยๆ สั้น-กลาง และจบที่กลุ่ม ‘กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว’ ที่ถือเป็นกลุ่มกองที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทน ‘สูงสุด’ ในกลุ่ม
นอกจากนี้ ‘ผลตอบแทน’ และ ‘ความเสี่ยง’ ของกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ยังขึ้นกับมิติของ ‘ประเภท’ ของตราสารหนี้ที่ลงทุนด้วย
“โดยปกติแล้ว ‘ตราสารหนี้ภาครัฐ’ ถือว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ต่ำ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (Default) ได้น้อยกว่า ‘ตราสารหนี้เอกชน’ หรือ ‘ตราสารหนี้ทั่วไป’ แน่นอนเมื่อความเสี่ยงต่ำกว่า...ผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาครัฐก็จะต่ำกว่าด้วยโดยเปรียบเทียบ ถ้าอายุตราสารหนี้ ‘เท่ากัน’ ปกติตราสารหนี้ภาครัฐก็จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยเปรียบเทียบนั่นเอง”
‘กลไก’ เบื้องหลัง… “ผลตอบแทน-ความเสี่ยง”
การลงทุนกับความเสี่ยงเป็นของคู่กัน แม้จะเป็นกลุ่ม ‘กองทุนตราสารหนี้’ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุดโดยเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น แต่ก็ยังมี ‘ความเสี่ยง’ อยู่นั่นเอง
“อาจจะมีอนุโลมเอาบ้างสำหรับ ‘กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐ’ ที่ถือว่าความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ต่ำสุดจนเสมือนหนึ่งไม่มี เพราะรัฐเครดิตดีที่สุดในประเทศแล้ว เรื่องจะชักดาบก็สบายใจได้ระดับหนึ่ง (แต่ใช่ว่าจะไม่มีนะ) ส่วนความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ยังคงมีอยู่”
ส่วน ‘ตราสารหนี้เอกชน’ ในประเทศ Credit Risk ปกติก็จะสูงกว่าตราสารหนี้ภาครัฐอยู่แล้ว เวลาจะออกหุ้นกู้เอกชนออกมา ผลตอบแทนที่จะให้ก็มี ‘ส่วนชดเชยความเสี่ยง (Credit Spread)’ บวกเพิ่มเข้าไปจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุเท่ากัน ส่วนจะบวก ‘มาก’ หรือ ‘น้อย’ นั้น ก็ขึ้นกับระดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ตัวนั้นๆ ซึ่งดูได้จาก ‘อันดับเครดิต (Credit Rating)’ เป็นสำคัญ
“หุ้นกู้ที่อายุเท่ากัน แต่ Credit Rating ต่างกัน ส่วนชดเชยความเสี่ยงที่บวกเข้าไปก็จะต่างกันไปด้วย โดยหุ้นกู้ที่เครดิตดีอยู่ใน ‘ระดับลงทุนได้ (Investment Grade)’ ก็จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าหุ้นกู้ที่มีเครดิต ‘ต่ำกว่าระดับลงทุนได้ (Non-investment Grade)’ เพราะเครดิตดีก็จะมี Credit Spread ที่บวกไปบนพันธบัตรรัฐบาลต่ำกว่านั่นเอง”
แต่เราลงทุนผ่านกองทุนรวม เรื่องคุณภาพตราสารหนี้ที่ลงทุนก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ‘ผู้จัดการกองทุน’ บริหารจัดการไป ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเองอยู่
‘อายุเฉลี่ย (Duration)’ ของตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ ‘ผลตอบแทน-ความเสี่ยง’ ของกองทุนตราสารหนี้เช่นกัน อายุยิ่งยาว...ยิ่งเสี่ยงเพิ่มขึ้น เป็นผลกระทบจาก ‘ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)’ นั่นเอง
หลายคนอาจจะคุ้นหูอยู่บ้างว่า...ตราสารหนี้ไม่ชอบดอกเบี้ยขาขึ้น ก็เป็นผลมาจากความเสี่ยงในเรื่องนี้เป็นสำคัญ เพราะ ‘ราคาตราสารหนี้’ จะแปรผกผันกับ ‘อัตราดอกเบี้ย’ โดยผลกระทบจะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ตัว Duration นี้เอง
ตัวอย่าง : กองตราสารหนี้ A มีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน 3 เดือน (0.25 ปี) กับกองทุนตราสารหนี้ B มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน 3 ปี เมื่อดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวขึ้นมา 1% จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อพอร์ตกองทุน A 0.25% (=0.25 ปี x 1%) ในขณะที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อพอร์ตกองทุน B 3% (=3 ปี x 1%)
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวลาดอกเบี้ย ‘ขาขึ้น’ จึงมักได้รับคำแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ที่มี ‘อายุสั้นลง’ ก็เพื่อลดผลกระทบเชิงลบดังกล่าวนั่นเอง เพราะขนาดของความเสียหายจะน้อยกว่าตราสารหนี้ที่มีอายุยาว ในทางตรงข้าม เมื่อดอกเบี้ยเป็น ‘ขาลง’ ผลกระทบดังกล่าวก็จะกลับเป็น ‘เชิงบวก’ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมในช่วงดอกเบี้ยขาลง จึงควรขยายอายุตราสารหนี้ที่ลงทุนให้ ‘ยาวขึ้น’
“ในกองทุนตราสารหนี้แต่ละประเภท (ตลาดเงิน/สั้น/กลาง/ยาว) ผู้จัดการกองทุนก็จะบริหารในเรื่อง Duration ของพอร์ตด้วยเช่นกันส่วนจะสั้นยาวแค่ไหนก็เป็นกลยุทธ์และมุมมองของแต่ละบลจ.ไป แต่ถ้าเป็น ‘กองทุนปิด’ เช่น กลุ่ม Term Fund ก็ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องนี้เพราะผลกระทบในระหว่างทางไม่ได้มีผลอะไร ด้วยการถือครองตราสารหนี้ไปจนครบอายุนั่นเอง ฉะนั้นถ้าขยับไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แล้วเห็นราคาผันผวนก็อย่าแปลกใจ ถือเป็นเรื่องปกติของการลงทุนเช่นกัน”
จะเห็นว่า “Infinity Fund” แห่งพลัง ‘Mind Stone-กองทุนตราสารหนี้’ นั้น มีความหลากหลายในมิติของ ‘ผลตอบแทน-ความเสี่ยง’ อยู่มากพอสมควร การบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์มั่นคงอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการผสมผสานกองทุนตราสารหนี้แต่ละประเภทเข้าไปในพอร์ตอย่างเหมาะสมก็สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้เช่นกัน มาถึงจุดนี้ End Game แล้ว หากคุณมีครบทั้ง 6 ประเภท จักรวาลผลตอบแทนก็จะอยู่ในมือคุณอย่างแน่นอน